ประเทศไทยมีการบริหารจัดการเรื่อง HIV/AIDS ที่ดีมาก จนเป็นที่ชื่นชม ยกย่องจากนานาประเทศ เรามีการให้ยาแก่ผู้ที่มีเชื้อ HIV ทุกๆคนฟรี โดยไม่ต้องดูปริมาณ CD4 ในเลือด หลายๆประเทศดูไทยเป็นตัวอย่าง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เราบริหารจัดการเรื่อง HIV/AIDS ได้เป็นอย่างดี แต่ยังมีปัญหาอุปสรรคต่างๆพอสมควร และเรื่อง HIV/AIDS เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา โดยไม่มีการหยุดยั้ง คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ที่มีท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย เป็นประธาน จึงมีเป้าหมายที่จะกำจัด HIV/AIDS ให้ได้ภายใน พ.ศ.2573 หรือ ค.ศ.2030 ตาม Sustainable Development Goals (SDGs) โดยมีคำขวัญว่า 1) ไม่ติด 2) ไม่ตาย 3) ไม่ตีตรา
1) ความหมายของคำว่า ไม่ติด คือ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ให้เหลือปีละไม่เกิน 1,000 ราย (ภายใน พ.ศ.2573) จากปัจจุบันปีละ 6,000 กว่าราย
2) ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวีให้เหลือปีละไม่เกิน 4,000 ราย
3) ลดการรังเกียจ และการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับเอชไอวีและเพศภาวะลงร้อยละ 90 ด้วยการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และไม่มีประชากรใดถูกละเลย มีการเคารพ ปกป้อง คุ้มครอง สิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคทางเพศ และการเป็นเจ้าของร่วมรับผิดชอบ และทำงานร่วมกันของภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจ
การที่จะลดจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV ให้เป็นศูนย์ หรือเหลือเพียงไม่เกิน 1,000 รายต่อปีนั้น ถ้าประชาชนให้ความร่วมมือ ถือว่าทำได้ไม่ยาก กล่าวคือ หากทุกๆ คนจะมีเพศสัมพันธ์กับใครก็ตามที่ไม่ใช่สามีหรือภรรยาโดยใช้ถุงยางอนามัย การติดเชื้อ HIV/AIDS ก็เกือบจะเป็นศูนย์ ผู้ที่ใช้บริการทางเพศหรือผู้ที่จะมีเพศสัมพันธ์กับกลุ่มเสี่ยงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ถุงยางอนามัย อย่างไรก็ตาม คู่สามีภรรยาที่สามีอาจไปใช้บริการทางเพศและไม่ใช้ถุงยางอนามัยอาจได้เชื้อ HIV/AIDS มาโดยไม่มีอาการและถ้าไม่ไปตรวจ จะสามารถเผยแพร่เชื้อ HIV/AIDS ไปสู่ภรรยาและผู้อื่นได้ ฉะนั้นผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงควรไปตรวจหาเชื้อ HIV/AIDS ด้วยความสมัครใจเอง
จากการคาดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีประเทศไทยมีประมาณ438,100 คน รายงานข้อมูลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการวินิจฉัยในปี 2558 คือ 391,484 คน แสดงว่ายังมีผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้รับการตรวจและทราบสถานะการติดเชื้อของตนอีกไม่ต่ำกว่า 47,000 คน ซึ่งขาดโอกาสได้รับบริการดูแลรักษา และบริการป้องกัน ทั้งของตนเองและคู่ และมีโอกาสถ่ายทอดเชื้อไปยังคู่และสังคมโดยไม่รู้ตัวอีกมาก
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาล สังคม จึงต้องรณรงค์ให้ทุกคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง (ไม่ว่าเคยมีในอดีต หรือปัจจุบัน) ให้ไปตรวจหาเชื้อ HIV/AIDS ด้วยความสมัครใจเอง เพราะปัจจุบันนี้รัฐบาลได้ให้ยาต้านเชื้อ HIV/AIDS ฟรีแก่ทุกคนที่มีเชื้อโดยไม่ต้องดูระดับเม็ดเลือดขาว CD4 เหมือนสมัยก่อน รวมทั้งการกินยา 6 เดือนขึ้นไปจะทำให้ผู้ที่มีเชื้อ จะไม่แพร่เชื้อออกไปสู่คู่ครอง หรือคนอื่นๆได้ สาเหตุที่ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงไม่ไปตรวจ เพราะเกรงว่าถ้าตรวจพบ จะถูกสังคมรังเกียจ ขณะนี้ไม่สามารถบังคับให้ใครไปตรวจหาเชื้อ HIV/AIDS ได้ ถ้าผู้นั้นไม่ยอม อาจสามารถแนะนำได้ แต่บังคับไม่ได้
แต่ในความเป็นจริง ผู้ที่จะตรวจหาเชื้อ จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ หนึ่งไม่มีใครบังคับให้เราไปตรวจได้ เมื่อเราไปตรวจเลือดแล้ว คนอื่นไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของเราได้เลย เราต้องไปรับผลเลือดเองที่มาในซองที่ปิดผนึก คนอื่นไปรับแทนไม่ได้ ฉะนั้นในประเด็นนี้จึงไม่น่าเป็นห่วง ที่สภากาชาดไทยก็มีการรณรงค์ให้ทุกๆ คนไปตรวจ โดยการขอร้องให้ผู้บริหารไปตรวจเป็นตัวอย่าง ผมเองก็ไปตรวจมาแล้วหลายครั้ง(ปกติดี)
ด้วยเหตุนี้เองรัฐบาล ทุกหน่วยงานที่ทำทางด้านนี้จึงอยากรณรงค์ให้ทุกๆ คนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่สามี ภรรยา โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ผู้ใช้ยาเสพติดโดยเฉพาะด้วยการฉีด ให้ไปตรวจเลือดหาเชื้อ HIV เพื่อถ้ามีจะได้เข้าถึงการรักษาฟรี
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์